การศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้
การบรรยายเรื่อง
การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อการพัฒนา "การสร้างสรรค์ศึกษา"
กรณีของประเทศไทย
ณ โรงแรม เลอ รอยัล เมอริเดียน
วันพุธที่ 16 มกราคม 2545
ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นแผนแม่บทด้านการศึกษาของประเทศ และในมาตรา 4 ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ดังนี้
การศึกษา หมายถึงกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้นั้นเกิดกับบุคคล และสังคม ถ้าเราถือว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้น การเรียนรู้ ก็คือการเรียนรู้ของคนในสังคมนั่นเอง
การเรียนรู้ทำได้หลายวิธี มีได้หลายรูปแบบ การเรียนรู้คือการสร้างสรรค์ที่จรรโลงความก้าวหน้า คือครีเอทีฟ เพื่อความก้าวหน้า และการเรียนรู้คือการสร้างองค์ความรู้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ใหม่ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นั้นต้องการการเรียนรู้ที่เน้นและให้ความสำคัญ กับการสร้างสรรค์มาก หมายความว่า การเรียนรู้นั้น เราสามารถสร้างองค์ความรู้ได้จากทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นจึงเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักรในครั้งนี้
ถ้าเรามองว่าการศึกษาคือการสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ จากรายงานจะพบว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และเศรษฐกิจของโลกขึ้นอยู่กับผลงานสร้างสรรค์ หลายหมื่นล้านปอนด์ นั่นหมายความว่าราคาของความสร้างสรรค์มีมูลค่าสูงมาก ถ้านับรวมทั้งโลกจะสูงถึงล้าน ล้าน ล้านทีเดียว เพราะฉะนั้นโลกปัจจุบันจึงเป็นโลกของการเรียนรู้โดยการสร้างสรรค์ ที่เรามาพูดกันในวันนี้
เมื่อได้ความหมายของการศึกษา ว่าหมายถึงการศึกษาเชิงสร้างสรรค์แล้ว ในมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บอกจุดประสงค์ของการเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า กระบวนการเรียนรู้นั้นเน้นการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และการบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา จนถึงภูมิปัญญา และวิทยาศาสตร์
วันนี้เรามีโอกาสได้ฟังผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอให้เราเห็นว่า การศึกษาในเชิงสร้างสรรค์ จะนำไปใช้ในสาขาต่างๆ ได้อย่างไร ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ จะสร้างสรรค์ได้อย่างไร สร้างความรู้ได้อย่างไร สาขาศิลปะ ที่ต้องมีความคิดเชิงสร้างสรรคเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือการเขียน ที่ต้องมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียงร้อยสิ่งต่างๆ ในการนำเสนอ เห็นได้ชัดว่า มาตรา 4 และมาตรา 7 จะช่วยให้การศึกษาไม่แห้งแล้ง แต่จะเป้นการเรียนรู้ที่มีความสุข และสนุกสนาน และท้ายที่สุดสิ่งที่เราสร้างสรรค์อย่างมีความสุขนั้น จะกลายมาเป็นทรัพย์สมบัติ สิทธิสมบัติของเราอย่างชัดเจน
ดังนั้น การเรียนอย่างสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นเรื่องเดียวกัน ในประเทศไทยอาจไม่ค่อยมี แต่ในต่างประเทศ เราพบเสมอๆ ว่าเด็กมีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน และทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ หากเราสามารถพัฒนาการเรียนแบบสร้างสรรค์ได้ การเรียนกับการทำงานจะเป็นการบูรณาการในเรื่องเดียวกัน
การศึกษาระบบใหม่เป็นระบบที่เหมาะ และยืดหยุ่นให้กับการศึกษาเชิงสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก เพราะการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเท่านั้น นอกจากนี้ มาตรา 12 ยังเปิดโอกาสให้คนที่เข้ามาจัดการศึกษานั้นมีมากมาย หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ครอบครัว หรือสถาบันศาสนา และสิ่งสำคัญคือการศึกษาใหม่ตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นั้นมีถึง 3 ระบบคือ การศึกษาในระบบโรงเรียน (Formal Education) การศึกษานอกระบบโรงเรียน (Non-Formal Education) และการศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) และกฎหมายได้กำหนดให้ระบบการศึกษาทั้ง 3 ระบบสามารเทียบโอนการศึกษากันได้ นี่คือความยืดหยุ่น เป็นการลดความแข็งของระบบการศึกษา เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดริเริ่ม" และ "สร้างสรรค์"
นอกจากนี้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ยังมีสิ่งที่โดดเด่นมากคือในมาตรา 22 ที่เปลี่ยนความเชื่อและหลักการเกี่ยวกับผู้เรียนค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ซึ่งหมายความว่าเราเชื่อในพลังแห่งการเรียนรู้ของผู้เรียน เชื่อในพลังแห่งการสร้างสรรค์ของแต่ละคน ซึ่งนับว่าเป็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่มาก ประการต่อมาเราเชื่อว่าผู้เรียนแต่ละคนสามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพของตัวเอง ได้ การศึกษาเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน
ถ้าเรามองว่าการศึกษาเชิงสร้างสรรค์เป็นรูปแบบและวิธีการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ในมาตรา 4 และมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เราสามารถบูรณาการเข้ากับเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ได้อย่างไร วันนี้จะมีตัวอย่างการบูรณาการในวิชาวิทยาศาสตร์ และศิลปะ
มาตรา 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กล่าวถึงเนื้อหาวิชาไว้อย่างสมบูรณ์ และชัดเจน และในมาตรา 24(5) กำหนดวิธีการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย เพื่อพัฒนาพลังแห่งการสร้างสรรค์ให้เป็นระบบ เพราะการวิจัยเป็นการทำงานโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ นอกจากนี้ในมาตรา 25 กล่าวถึง แหล่งเรียนรู้ ว่ามิได้จำกัดตายตัวอยู่แต่เพียงในห้องเรียน สถานที่ต่างๆ เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ ก็ถือเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญเช่นกัน
แต่เดิมเราเคยมีปัญหาเกี่ยวกับข้อกำหนดของหลักสูตร แต่ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้หลักสูตรมี 2 ระบบ คือ หลักสูตรกลาง หรือหลักสูตรชาติ และหลักสูตรของโรงเรียนที่พัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของผู้ เรียน และชุมชน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กำหนดให้การปฏิรูปการศึกษา เป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ ทำอย่างไรจึงมีการเรียนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างพลังศักยภาพของสังคมของคนไทย
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ในฐานะของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาของชาติ จึงสนใจและทำการศึกษาเรื่อง "การศึกษาเชิงสร้างสรรค์" นี้ เพื่อให้นโยบายด้านการศึกษาของชาติ สามารถพัฒนาเป็นแผนโดยการบูรณาการการศึกษาเชิงสร้างสรรค์นี้ให้เข้ากับราย วิชาต่างๆ ได้อย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ที่มา
:ดร.รุ่ง แก้วแดง
:http://library.uru.ac.th/webdb/images/Create_Edu.htm
การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อการพัฒนา "การสร้างสรรค์ศึกษา"
กรณีของประเทศไทย
ณ โรงแรม เลอ รอยัล เมอริเดียน
วันพุธที่ 16 มกราคม 2545
ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นแผนแม่บทด้านการศึกษาของประเทศ และในมาตรา 4 ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ดังนี้
การศึกษา หมายถึงกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้นั้นเกิดกับบุคคล และสังคม ถ้าเราถือว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้น การเรียนรู้ ก็คือการเรียนรู้ของคนในสังคมนั่นเอง
การเรียนรู้ทำได้หลายวิธี มีได้หลายรูปแบบ การเรียนรู้คือการสร้างสรรค์ที่จรรโลงความก้าวหน้า คือครีเอทีฟ เพื่อความก้าวหน้า และการเรียนรู้คือการสร้างองค์ความรู้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ใหม่ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นั้นต้องการการเรียนรู้ที่เน้นและให้ความสำคัญ กับการสร้างสรรค์มาก หมายความว่า การเรียนรู้นั้น เราสามารถสร้างองค์ความรู้ได้จากทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นจึงเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักรในครั้งนี้
ถ้าเรามองว่าการศึกษาคือการสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ จากรายงานจะพบว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และเศรษฐกิจของโลกขึ้นอยู่กับผลงานสร้างสรรค์ หลายหมื่นล้านปอนด์ นั่นหมายความว่าราคาของความสร้างสรรค์มีมูลค่าสูงมาก ถ้านับรวมทั้งโลกจะสูงถึงล้าน ล้าน ล้านทีเดียว เพราะฉะนั้นโลกปัจจุบันจึงเป็นโลกของการเรียนรู้โดยการสร้างสรรค์ ที่เรามาพูดกันในวันนี้
เมื่อได้ความหมายของการศึกษา ว่าหมายถึงการศึกษาเชิงสร้างสรรค์แล้ว ในมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บอกจุดประสงค์ของการเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า กระบวนการเรียนรู้นั้นเน้นการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และการบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา จนถึงภูมิปัญญา และวิทยาศาสตร์
วันนี้เรามีโอกาสได้ฟังผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอให้เราเห็นว่า การศึกษาในเชิงสร้างสรรค์ จะนำไปใช้ในสาขาต่างๆ ได้อย่างไร ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ จะสร้างสรรค์ได้อย่างไร สร้างความรู้ได้อย่างไร สาขาศิลปะ ที่ต้องมีความคิดเชิงสร้างสรรคเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือการเขียน ที่ต้องมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียงร้อยสิ่งต่างๆ ในการนำเสนอ เห็นได้ชัดว่า มาตรา 4 และมาตรา 7 จะช่วยให้การศึกษาไม่แห้งแล้ง แต่จะเป้นการเรียนรู้ที่มีความสุข และสนุกสนาน และท้ายที่สุดสิ่งที่เราสร้างสรรค์อย่างมีความสุขนั้น จะกลายมาเป็นทรัพย์สมบัติ สิทธิสมบัติของเราอย่างชัดเจน
ดังนั้น การเรียนอย่างสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นเรื่องเดียวกัน ในประเทศไทยอาจไม่ค่อยมี แต่ในต่างประเทศ เราพบเสมอๆ ว่าเด็กมีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน และทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ หากเราสามารถพัฒนาการเรียนแบบสร้างสรรค์ได้ การเรียนกับการทำงานจะเป็นการบูรณาการในเรื่องเดียวกัน
การศึกษาระบบใหม่เป็นระบบที่เหมาะ และยืดหยุ่นให้กับการศึกษาเชิงสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก เพราะการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเท่านั้น นอกจากนี้ มาตรา 12 ยังเปิดโอกาสให้คนที่เข้ามาจัดการศึกษานั้นมีมากมาย หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ครอบครัว หรือสถาบันศาสนา และสิ่งสำคัญคือการศึกษาใหม่ตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นั้นมีถึง 3 ระบบคือ การศึกษาในระบบโรงเรียน (Formal Education) การศึกษานอกระบบโรงเรียน (Non-Formal Education) และการศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) และกฎหมายได้กำหนดให้ระบบการศึกษาทั้ง 3 ระบบสามารเทียบโอนการศึกษากันได้ นี่คือความยืดหยุ่น เป็นการลดความแข็งของระบบการศึกษา เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดริเริ่ม" และ "สร้างสรรค์"
นอกจากนี้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ยังมีสิ่งที่โดดเด่นมากคือในมาตรา 22 ที่เปลี่ยนความเชื่อและหลักการเกี่ยวกับผู้เรียนค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ซึ่งหมายความว่าเราเชื่อในพลังแห่งการเรียนรู้ของผู้เรียน เชื่อในพลังแห่งการสร้างสรรค์ของแต่ละคน ซึ่งนับว่าเป็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่มาก ประการต่อมาเราเชื่อว่าผู้เรียนแต่ละคนสามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพของตัวเอง ได้ การศึกษาเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน
ถ้าเรามองว่าการศึกษาเชิงสร้างสรรค์เป็นรูปแบบและวิธีการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ในมาตรา 4 และมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เราสามารถบูรณาการเข้ากับเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ได้อย่างไร วันนี้จะมีตัวอย่างการบูรณาการในวิชาวิทยาศาสตร์ และศิลปะ
มาตรา 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กล่าวถึงเนื้อหาวิชาไว้อย่างสมบูรณ์ และชัดเจน และในมาตรา 24(5) กำหนดวิธีการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย เพื่อพัฒนาพลังแห่งการสร้างสรรค์ให้เป็นระบบ เพราะการวิจัยเป็นการทำงานโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ นอกจากนี้ในมาตรา 25 กล่าวถึง แหล่งเรียนรู้ ว่ามิได้จำกัดตายตัวอยู่แต่เพียงในห้องเรียน สถานที่ต่างๆ เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ ก็ถือเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญเช่นกัน
แต่เดิมเราเคยมีปัญหาเกี่ยวกับข้อกำหนดของหลักสูตร แต่ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้หลักสูตรมี 2 ระบบ คือ หลักสูตรกลาง หรือหลักสูตรชาติ และหลักสูตรของโรงเรียนที่พัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของผู้ เรียน และชุมชน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กำหนดให้การปฏิรูปการศึกษา เป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ ทำอย่างไรจึงมีการเรียนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างพลังศักยภาพของสังคมของคนไทย
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ในฐานะของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาของชาติ จึงสนใจและทำการศึกษาเรื่อง "การศึกษาเชิงสร้างสรรค์" นี้ เพื่อให้นโยบายด้านการศึกษาของชาติ สามารถพัฒนาเป็นแผนโดยการบูรณาการการศึกษาเชิงสร้างสรรค์นี้ให้เข้ากับราย วิชาต่างๆ ได้อย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ที่มา
:ดร.รุ่ง แก้วแดง
:http://library.uru.ac.th/webdb/images/Create_Edu.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น